|  | 
          
            |  |  
            | [ กลับหน้าหลัก ] 
 หนุ่มไทยพิชิต"เอเวอเรสต์"
 
 
    | 
     
 หนุ่มไทยพิชิต"เอเวอเรสต์"งาน60ปีครองราชย์บันดาลใจ
 
 
 หนุ่มไทยพิชิต "เอเวอเรสต์" เผยแรงบันดาลใจไต่เหยียบเมฆจากงานเทิดพระเกียรติ 60 ปี ครองราชย์
 ภาคธุรกิจไทยเมินสุดท้ายได้เวียดนามสนับสนุน แฉภารกิจสุดหินซ้อมปีนเขาอยู่หลายประเทศก่อนพิชิตยอดเขาดัง
 
 
 คงมีไม่บ่อยครั้งที่คนไทยจะมีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์ ปีนเขาเอเวอเรสต์ ยอดเขาสูงที่สุดในโลก ซึ่งสูง
 8,848 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่ด้วยความเพียรพยายาม และความศรัทธาอันแรงกล้า ทำให้นายวิทิตนันท์
 โรจนพานิช อายุ 39 ปี ชาว กทม.
 สามารถฟันฝ่าอุปสรรคได้สำเร็จและสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นคนไทยคนแรกที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้
 เป็นผลสำเร็จ
 
 นายวิทิตนันท์ ประกอบอาชีพครีเอทีฟรายการโทรทัศน์ และกำลังจะผันตัวเองไปเป็นผู้กำกับภาพยนตร์
 ซึ่งด้วยสายงานดังกล่าวแทบจะไม่มีโอกาสให้ชายหนุ่มผู้นี้ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของการเสี่ยงตายอย่างกา
 รปีนยอดเขามรณะเอเวอเรสต์ ที่แต่ละปีมีคนจากทั่วโลกเอาชีวิตไปทิ้งบนยอดเขาแห่งนี้จำนวนมากได้
 
 แต่ด้วยนายวิทิตนันท์ เป็นคนที่ชื่นชอบการผจญภัย ชอบการดำน้ำ ชอบขับเครื่องบินเล็ก
 และชอบการเดินทางไปทั่วทุกมุมโลก ทำให้หนุ่มใหญ่ผู้นี้มีโอกาสพบกับนายดูล สวี เชาว์
 นักปีนเขาที่เป็นคนแรกของประเทศสิงคโปร์ที่ขึ้นไปเหยียบยอดเขาเอเวอเรสต์ ขณะร่วมทริปไปดำน้ำในประเทศพม่า
 เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา
 
 ในการพบกับนายดูล สวี เชาว์ ครั้งนั้นเหมือนเป็นการจุดประกายให้นายวิทิตนันท์
 มีความคิดที่จะเป็นคนไทยคนแรกที่นำธงชาติไทยไปปักลงบนยอดเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาสูงที่สุดของโลก
 
 "ดูล สวี เชาว์ เขาพูดกับผมว่าอยากให้มีคนไทยปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ สำเร็จอย่างเช่นคนสิงคโปร์ทำ
 ผมบอกกับเขาไปในวินาทีนั้นเลยว่า
 คนไทยทำอะไรได้ทุกอย่างและผมนี่แหละจะเป็นคนไทยคนแรกที่ไปเหยียบยอดเขาลูกนั้น"
 นายวิทิตนันท์เล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้ต้องไปปีนเขาเอเวอเรสต์
 
 ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นายวิทิตนันท์ขวนขวายที่จะเดินทางไปปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ให้สำเร็จ
 โดยเริ่มแรกไปทดลองปีนเขาชินาบูลู ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเล 4,095 เมตร
 
 นายวิทิตนันท์กล่าวอีกว่า ต้องการให้คนทั่วโลกรู้จักคนไทยในมุมอื่นๆ ที่นอกเหนือจากมวยไทย
 หรือต้มยำกุ้ง และต้องการแสดงให้คนชาติไหนๆ ได้เห็นว่าคนไทยก็สามารถทำอะไรได้เหมือนคนชาติอื่นทำได้
 และตั้งใจว่าในชีวิตนี้จะต้องไปยืนบนยอดเขาเอเวอเรสต์ให้ได้
 
 แต่การปีนเขาสูงที่สุดในโลกของนายวิทิตนันท์ มีอุปสรรคสำคัญคือค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า 2 ล้านบาท
 จึงต้องหาทางแก้โดยการประกาศหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
 แต่ก็ต้องพับโครงการไปเพราะติดขัดเรื่องเวลาที่ไม่เอื้ออำนวยระหว่างคนในกลุ่ม
 
 นายวิทิตนันท์บอกว่า ในช่วงแรกรู้สึกท้อเพราะอุปสรรคมีมาก กระทั่งเมื่อปี 2549
 เกิดแรงบันดาลใจครั้งใหญ่ คือเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองราชย์ครบ 60 ปี
 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนไทยกว่า 60 ล้านคนมาอย่างยาวนาน
 ตนซึ่งเป็นคนไทยควรทำอะไรเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน
 
 ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2549 นายวิทิตนันท์ตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศเนปาล
 เพื่อไปทดลองปีนเขาเอเวอเรสต์
 พร้อมทั้งถ่ายภาพตัวเองขณะปีนเขาเพื่อนำกลับมาทำเป็นชิ้นงานเสนอขอสปอนเซอร์จากภาคธุรกิจ
 ในการเดินทางครั้งนั้นนายวิทิตนันท์ปีนเขาเอเวอเรสต์ได้ในระดับความสูงเพียง 5 ,000 กว่าเมตร
 เนื่องจากขาดอุปกรณ์การปีนเขาที่มีประสิทธิภาพเพราะราคาสูง
 
 "หลังจากกลับมาถึงประเทศไทยผมใช้เวลาหาสปอนเซอร์อยู่นานเกือบ 2 ปี แต่ก็ไม่มีใครให้
 โดยส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าคนอย่างผมจะทำได้ กระทั่งพบกับคุณนิรัตติศัย กัลย์จาฤก ผู้บริหารบริษัทกันตนา
 ซึ่งให้ความสนใจกับแผนการของผม ต่อมาคุณนิรัตติศัย และผู้บริหารกันตนาก็ได้พยายามหาสปอนเซอร์ให้
 แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากนักธุรกิจในประเทศไทยแม้แต่รายเดียว โชคดีที่คุณจารึก กัลย์จาฤก
 รู้จักกับบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนามซึ่งสนใจที่จะสนับสนุน" นายวิทิตนันท์กล่าว
 
 นายวิทิตนันท์กล่าวว่า
 การให้การสนับสนุนของบริษัทธุรกิจจากเวียดนามมาในรูปของการร่วมกันผลิตรายการโทรทัศน์ในลักษณะเรียลิตี้ไป
 เผยแพร่ในประเทศเวียดนาม โดยเปิดรับอาสาสมัครชาวเวียดนามมาร่วมเดินทางไปพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์
 โดยมีตนเป็นหัวหน้าทีม
 
 การคัดสรรชาวเวียดนามนั้น ในระยะแรกมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการถึง 3,000 คน ก่อนที่จะคัดเหลือเพียง 4 คน
 ซึ่งระหว่างการคัดตัวนั้นมีการถ่ายทำเผยแพร่เป็นรายการเรียลิตี้โชว์ออกอากาศทางโทรทัศน์ในเวียดนาม
 ในวันจันทร์ถึงวันเสาร์วันละ 5 นาที และในวันอาทิตย์ 30 นาที
 
 นายวิทิตนันท์บอกด้วยว่า
 ระหว่างการคัดตัวนั้นมีการฝึกร่างกายให้มีความแข็งแรงเพื่อเตรียมพร้อมในการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์
 โดยไปปีนเขา ฟางสิปัง ในเวียดนามที่สูงจากระดับน้ำทะเล 3,100 เมตร และปีนยอดเขาชินาบาลู
 ในประเทศมาเลเซีย สูง 4,095 เมตร เพื่อสร้างความเคยชินและเรียนรู้วิธีการปีนเขา
 และปิดท้ายการฝึกซ้อมโดยการปีนเขาไอซ์แลนด์ฟิกส์ ซึ่งเป็นภูเขาน้ำแข็งสูง 6,189 เมตร ในประเทศเนปาล
 เพื่อให้นักปีนเขาเคยชินกับสภาพอากาศและภูมิประเทศของภูเขาลูกนี้ที่มีความใกล้เคียงกับยอดเขาเอเวอเรสต์
 
 การเตรียมร่างกายของนักปีนเขาชุดนี้ใช้เวลาในการเตรียมตัวนานกว่า 8 เดือน
 ก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจสุดท้ายคือการปีนยอดเขาสูงที่สุดในโลก
 
 นายวิทิตนันท์เล่าว่า เขาเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังประเทศเนปาล ในวันที่ 8 เมษายน 2551
 เพื่อปฏิบัติภารกิจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต และเดินทางกลับสู่มาตุภูมิในวันที่ 3 มิถุนายน ที่ผ่านมา
 ตลอดระยะเวลา 2 เดือนเต็มในช่วงดังกล่าว
 เขาและเพื่อนร่วมทางชาวเวียดนามต้องใช้ชีวิตอยู่บนภูเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นหลังคาโลก
 
 "ชีวิตบนนั้นลำบากมากอากาศหนาวและแห้ง มีแต่ก้อนหิน กับหิมะ อุณหภูมิกลางวัน 15 องศาเซลเซียส
 บ่ายเหลือ 0 องศาเซลเซียส กลางดึกอุณหภูมิติดลบ 25 องศาเซลเซียส
 หากคืนไหนมีหิมะตกก็เหมือนอยู่ในนรกไม่มีผิด
 นอกจากอากาศแล้วอาหารก็แทบกินไม่ได้มีเพียงเนื้อที่ผ่านการปรุงจากชาวแชร์ปา รสชาติไม่ต้องพูดถึง
 อีกทั้งในแต่ละวันที่ปีนเขาจะต้องเดินทางตลอดทั้งวันจนกว่าจะถึงแคมป์ที่พัก
 โดยจุดที่ยากสุดคือบริเวณที่ผ่านพื้นที่ที่เรียกว่า คลุมบูไอซอล แปลเป็นไทยคือหิมะถล่ม
 จุดนี้ยากมากหากพลาดหมายถึงเอาชีวิตไปทิ้ง" นายวิทิตนันท์กล่าว
 
 ผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์คนแรกของไทยกล่าวด้วยว่า แต่เมื่อเดินทางบริเวณแคมป์ 4 ซึ่งมีโอกาสได้พัก 4
 ชั่วโมงก่อนที่จะขึ้นไปยังจุดซามิต ปลายยอดของภูเขาเอเวอเรสต์
 สิ่งแรกที่ทำคือหยิบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งใส่ไว้ในเป้บนหลังมาดู
 เพื่อเป็นกำลังใจ ก่อนที่จะเดินทางออกจากแคมป์ 4 ไปยังซามิต ที่ต้องใช้เวลาการเดินทางอีก 7 ชั่วโมง
 
 "7 ชั่วโมงจากแคมป์ 4 ไปยังซามิต ผมพะวงอย่างเดียว กลัวพระบรมฉายาลักษณ์ กับธงชาติ หล่นหาย
 เพราะเส้นทางลำบากมาก แต่เมื่อถึงซามิต ผมโล่งอก พระบรมฉายาลักษณ์ยังอยู่ ธงชาติยังอยู่
 ผมรีบหยิบพระบรมฉายาลักษณ์ออกมาชูขึ้นเหนือหัวและให้ มร.แชรัม แชร์ปา หัวหน้าทีมแชร์ปา ถ่ายภาพให้
 ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นถามผมว่าคนในภาพเป็นพ่อผมหรือ
 ผมตอบเขาว่าใช่นอกจากจะเป็นพ่อผมแล้วยังเป็นพ่อของคนไทยอีก 60 ล้านคน
 หลังจากนั้นผมก็ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี" นายวิทิตนันท์กล่าว
 
 http://www.komchadluek.net/2008/06/06/x_main_a001_205920.php?news_id=205920
 
 คิดว่าบางคนอาจจะยังไม่รู้ครับ เลยเอามาให้ดู
 
 
 |  | โดย : ขงเด้ง  [ 23/07/2008, 13:36:37 ] |  
 
        | 
        1 
         
 ภาพอีกครับ
 |  | โดย : ขงเด้ง  [ 23/07/2008, 14:27:47 ] |  
 
        | 
        2 
         
 อีก
 
 
 |  | โดย : ขงเด้ง  [ 23/07/2008, 14:28:56 ] |  
 
        | 
        3 
         
 ภาพหาได้ยากมาก
 เพราะอะไรก็ไม่รู้ที่ข่าวยังเงียบอยู่
 |  | โดย : ขงเด้ง  [ 23/07/2008, 14:34:14 ] |  
 
 
        | 
        5 
         สุดท้ายนี้ก็ต้องขอแสดงความยินดี และขอยกย่องคุณวิทิตนันท์ ไว้ ณ ที่นี้ครับ
 |  | โดย : ขงเด้ง  [ 23/07/2008, 14:54:32 ] |  
 |  
|  |  
            | 
              
                |  | E-mail: webmaster@thaibg.com | Copyright 2002-2025@www.ThaiBG.com (Thailand), All Rights Reserved |  |  |  
            |  |  |