|
|
[ กลับหน้าหลัก ]
เรื่องน่าอ่าน จาก email
ใครเคยอ่านแล้ว ก็ขออภัยด้วยครับ
ให้เมื่อมันมีค่า
หลายปีมาแล้ว เมื่อฉันไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ฉันได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ
ลิซ ซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่มีน้อยคนที่จะเป็น
โอกาสที่เธอจะหายจากโรคนี้ได้คือต้องทำการถ่ายเลือดจากน้องชายอายุห้า ขวบของเธอ
ผู้ซึ่งรอดจากโรคร้ายนี้ได้อย่างปาฏิหาริย์ จึงทำให้เขาร่างกายเขาสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายนี้ขึ้นมา
หมออธิบายสถานการณ์ให้น้องชายของเธอฟัง และถามเด็กชายว่าเขาต้องการจะให้เลือดของเขาแก่พี่สาวหรือไม่
ฉันเห็นเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า "ได้ครับ หากมันช่วยพี่สาวผมได้"
เมื่อทำการถ่ายเลือด เขานอนยิ้มอยู่ที่เตียงข้างๆพี่สาว ในขณะที่เราเริ่มจะเห็นสีสันคืนสู้แก้ม ของเธอ
หน้าของเด็กชายก็เริ่มซีดและรอยยิ้มก็จางหายไป ชายมองไปที่หมอและถามด้วยเสียงสั่นเครือ
"ผมกำลังจะตายใช่ไหม?"
ด้วยความเป็นเด็ก เขาเข้าใจหมอผิดไป
เด็กชายคิดว่าเขาต้องให้เลือดทั้งหมดของเขาให้แก่พี่สาวเพื่อช่วยชีวิตเธอ
ซึ่งเขาก็ยังตัดสินใจที่จะถ่ายเลือด แม้จะทำให้เขาต้องตายก็ตาม
|
โดย : ซึซึอิ [ 21/02/2008, 15:22:33 ] |
1
สิ่งที่กีดขวางทางของเรา
ในยุคโบราณมีหินผาตกลงมาขวางถนนเส้นหนึ่ง
เมื่อพระราชามาพบเข้าจึงซ่อนพระองค์อยู่เพื่อคอยดูว่าจะมีใครมาเอาหินใหญ่ก้อนนั้นออกไปจากทาง
เมื่อเสนาบดีในราชสำนักของพระองค์และพ่อค้าผู้ร่ำรวยผ่านมาก็เพียงแต่อ้อมหินผาก้อนใหญ่นั้นไป
พวกเขากล่าวตำหนิพระราชาต่างๆนานาที่พระองค์ไม่ใส่พระทัยที่จะดูแลทางนั้นให้ดี
แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรที่จะเอาหินนั้นออกไปให้พ้นทาง
จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งแบกผักกองใหญ่ผ่านมา เมื่อเขาเดินมาถึงหินผานั้น เขาก็วางสัมภาระลง
แล้วพยายามที่จะขยับก้อนหินนั้นให้พ้นทาง หลังจากทั้งผลักทั้งดึงหินก้อนนั้น
ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เมื่อเขาหยิบสัมภาระของเขาขึ้นมา ก็เห็นถุงเงินวางอยู่ตรงจุดที่ก้อนหินผาเคยอยู่
ในถุงนั้นมีเหรียญทองและจดหมายจากพระราชา
เขียนไว้ว่า "ทองในถุงนั้นเป็นของผู้ที่เอาหินผาออกไปจากถนน
ชาวบ้านคนนั้นได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยได้รู้ ทุกๆอุปสรรคที่กีดขวางทางนั้น
จะมอบโอกาสที่เราจะดีขึ้นให้กับเรา" |
โดย : ซึซึอิ [ 21/02/2008, 15:24:00 ] |
2
ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอ
ในสมัยที่ไอศครีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มาก
เด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่โต๊ะ
เมื่อพนักงานเสริฟวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เด็กชายก็ถามว่า "ไอศครีมซันเดราคาเท่าใหร่ครับ?"
"ห้าสิบเซ็นต์" พนักงานเสิร์ฟสาวตอบ แล้วเด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋า
แล้วก็นับเ หรียญในมือ "งั้น ไอศครีมเปล่าๆล่ะครับราคาเท่าใหร่?" เด็กชายถามอีก
ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้นและพนักงานเสิร์ฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน
"สามสิบห้าเซ็นต์" เธอตอบห้วนๆ เด็กชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง
"ผมขอไอศครีมเปล่าครับ" เด็กชายบอก แล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอาไอศครีมมาให้
เอาใบเสร็จมาให้แล้วก็เดินหนีไป
เด็กชายทานไอศครีมหมดแล้ว ก็จ่ายเงินแล้วก็จากไปเมื่อพนักงานเสิร์ฟเดินกลับมา
เธอก็เริ่มร้องไห้เมื่อเธอเช็ดโต๊ะบนโต๊ะนั้น
มีเหรียญนิกเกิลราคาห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่อย่างบรรจงข้างถ้วยไอศครีมเปล่า
นั้น เห็นไหมว่า ที่เด็กชายไม่ทานไอศครีมซันเดเพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ทิปพนักงานเสิร์ฟสาวคนนั้น |
โดย : ซึซึอิ [ 21/02/2008, 15:24:35 ] |
3
รับคนกลางฝน
คืนหนึ่ง เวลา 23:30 น. สตรีสูงอายุเชื้อสายแอฟริกันคนหนึ่ง ยืนอยู่ริมทางหลวงสาย บามา
ต้านฝนที่ตกหนักอยู่ รถของเธอเสีย และเธอต้องการเดินทางต่อไปอย่างมากแม้จะเปียกโชก
เธอตัดสินใจโบกรถคันที่วิ่งผ่านมา ชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอ
ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้ง เรื่องการเหยียดผิวอย่างทศวรรษที่60
ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอได้รับความปลอดภัยและส่งเธอขึ้นรถแท๊กซี่ แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก
แต่ก็ขอบคุณเขา และจดที่อยู่ของเขาไปด้วย เจ็ดวันหลังจากนั้น
ก็มีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขาด้วยความประหลาดใจ
โทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหนึ่งถูกนำมาส่งยังบ้านของเขาและมีข้อความแนบ มาด้วย ใจความว่า:
"ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืนนั้น ฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น
แต่ชะเอากำลังใจของฉันไปด้วย แต่เมื่อคุณผ่านมา เป็นเพราะคุณ
ฉันจึงสามารถไปทันดูใจสามีที่กำลังจะเสียชีวิต ทันเวลาก่อนที่เขาจะสิ้นลมพอดี ขอพระเจ้าอวยพรคุณ
สำหรับการช่วยฉัน และการช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ"
ด้วยความจริงใจ นาง แนท คิง โคล
|
โดย : ซึซึอิ [ 21/02/2008, 15:25:09 ] |
4
คนทำความสะอาด
เมื่อครั้งที่ฉันเข้าเรียนในวิทยาลัยได้สองเดือน อาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบอันหนึ่ง
ฉันเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน จึงตอบคำถามได้อย่างสบาย จนมาถึงคำถามสุดท้าย
"สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อว่าอะไร?" ต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่
ฉันเคยเจอคนทำความสะอาดหลายครั้ง เธอเป็นคนตัวสูง ผมดำ และอายุกว่า 50 แต่ฉันจะรู้ชื่อเธอได้อย่างไร?
ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้าย ก่อนหมดคาบเรียน นักศึกษาคนหนึ่งถามว่า
คำถามข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมในคะแนนของผลการเรียนด้วยหรือไม่ "แน่นอน" อาจารย์ตอบ
"เพราะเมื่อเธอเข้าทำงาน เธอจะต้องพบกับคนมากมาย ซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอ
ที่สมควรจะได้รับความสนใจและเอาใจใส่ แม้ว่าพวกเธอจะทำได้แค่เพียงยิ้มให้และกล่าวสวัสดีก็ตาม"
|
โดย : ซึซึอิ [ 21/02/2008, 15:25:57 ] |
7
ชายหญิงคู่ หนึ่งเร่งมอ`ไซค์กว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Girl: Slow down. Im scared.
ช้าๆหน่อยสิ เค้ากลัวนะ
Guy: No this is fun.
ไม่เอาอ่ะ สนุกมากเลย
Girl: No its not. Please, its too scary!
ไม่ตลกนะ ขอร้องล่ะ เค้ากลัวมาก จริงๆ
Guy: Then tell me you love me.
งั้นบอกผมก่อนสิ ว่ารักผม
Girl: Fine, I love you. Slow down!
ก็ได้ เค้ารักตัว ลดความเร็วลงสิ
Guy: Now give me a BIG hug.
แล้วก็กอดผมแน่นๆ
Girl hugs him
และเธอก็กอดเขา
Guy: Can you take my helmet off & put it on yourself? Its bugging me.
เอาหมวกกันน็อคผมไปใส่สิ ผมรำคาญน่ะ
In the paper the next day A motorcycle had crashed into a building because of brake failure.
วันต่อมา หนังสือพิมพ์ลงข่าว มอไซค์ชนตึก เนื่องจากเบรค แตก
Two people were on it, but only one had survived.
มีคน นั่งมอไซค์ 2 คน แต่ว่า รอดคนเดียว
The truth was that halfway down the road, the guy realized that his brakes broke, but he didn't
want to let the girl know.
ความจริงคือ ทางสายนั้นเป็นครึ่งสายลาดลง ผู้ชายรู้ว่าเบรคเขา แตก แต่ก็ไม่อยากใฟ้แฟนสาวรู้
Instead, he had her say she loved him & felt her hug him one last time, then had her wear his
helmet so that she would live even though it meant that he would die.
แทน ที่จะบอกเธอ เขาให้เธอบอกรักและรู้สึกถึงอ้อมกอดเธอเป็นครั้งสุดท้าย แล้วให้ เธอ
ใส่หมวกกันน็อคเพื่อเธอจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงแม้เขาจะตายไปก็ ตาม
|
โดย : ซึซึอิ [ 29/02/2008, 10:47:11 ] |
8
สุดซึ้งทุกเรื่องราวครับ (*-*)
|
โดย : อรุโร [ 07/03/2008, 20:33:38 ] |
9
|
โดย : ขงเด้ง [ 10/03/2008, 16:28:17 ] |
10
ทัศนคติบอด
ชนะโทรไปบริษัทนี้เป็นหนที่สองในรอบสัปดาห์นี้
บริษัทนี้เป็นลูกค้ารายใหม่ที่เขากำลังติดตามเรื่องอยู่
เสียงของโอเปอร์เรเตอร์ซึ่งรับสายด้วยเสียงที่เป็นมิตร
และอ่อนโยนกล่าวว่า
" สวัสดีคะบริษัทเอบีซีอิงค์ ยินดีต้อนรับคะ "
คุณชนะกล่าวว่า " ผมขอเรียนสายกับคุณสมจิต
ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์หน่อยครับ "
โอเปอร์เรเตอร์กล่าวทักขึ้นมาว่า " นั่นคุณชนะใช่ไหมคะ"
ชนะรู้สึกแปลกใจความสามารถในการจดจำเสียงของพนักงานคนนี้ได้
เขากล่าวตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความประทับใจ
" ใช่แล้วครับ ขอบคุณที่จำได้ครับ " เธอกล่าวว่า
" ยินดีคะ ดิฉันจะโอนสายให้นะคะ "
หลังจากที่ชนะสนทนาเรื่องงานกับสมจิตจบ
ชนะจึงถามสมจิตขึ้นมาว่า " คุณสมจิต ผมขอชม
พนักงานรับโทรศัพท์ของคุณหน่อยครับ
เธอเก่งจริงๆเลยที่จำเสียงผมได้
เป็นการให้บริการที่เกินความคาดหวังของผมจริงๆเลยครับ
ผมเองไม่ได้เป็นลูกค้าประจำ และก็ไม่ได้โทรมาบ่อยๆ
ขนาดที่เธอจะจำเสียงผมได้ด้วย เธอมีเคล็ดลับอะไรครับ "
สมจิตพูดว่า " เธอชื่อเรณูคะ เธอได้รับคำชมอย่างนี้บ่อยๆ
หากคุณฟังเรื่องของเธอมากขึ้นกว่านี้คุณจะ ยิ่งประทับใจ
สนใจฟังไหมละคะ" ชนะรีบกล่าวตอบด้วยความกระตือรือร้นว่า
" สนใจสิครับ ช่วยกรุณาเล่าให้ฟังหน่อยครับ "
สมจิตเริ่มต้นเล่าอย่างอารมณ์ดี " คุณเรณูเธอตาบอดคะ
เธอจึงต้องอาศัยการฟังเพียงอย่างเดียว
ทำให้เธอสามารถจดจำชื่อคนได้ดี
เธออาศัยอยู่ที่สมุทรปราการและมาทำงานที่ออฟฟิศนี่
ซึ่งอยู่แถวดอนเมือง ซึ่งถือว่าไกลมากโดยเฉพาะสำหรับเธอ
ซึ่งต้องเดินทางโดยรถเมล์เหมือนคนปกติ
ส่วนใหญ่ก็ จะมีคนตาดีอย่างพวกเราที่คอยช่วยดูสายรถเมล์
และส่งเธอขึ้นรถให้ เธอไม่เคยมาสายเลย
และก็ไม่เคยเรียกร้องขอรถรับส่งแต่อย่างใด
ไม่เหมือนพนักงานปกติของพวกเราหลายคน
ตอนที่เราย้ายสำนักงานจากในเมือง ต้องข อรถรับส่งให้ด้วย
แถมหลายๆคนที่มีรถส่วนตัวก็ยังมาทำงานสาย
พร้อมกับเหตุผลสารพัด คิดแล้วอายแทนคนตาดีเลยคะ "
เธอหยุดเว้นจังหวะสักครู่ก่อนจะเล่าต่อว่า
" คุณเรณูมีทัศนคติที่ดีมากๆกับงานของเธอ
เธอเคยเล่าให้ดิฉันฟังว่าสำหรับเธอแล้ว
การรับโทรศัพท์ไม่ใช่งานแต่มันคือชีวิต
เงินเดือนที่บริษัทให้กับเธอ ทำให้เธอสามารถเลี้ยงตัวเอง
และครอบครัวได้อย่างดี นอกจากนี้เธอยังมีเงินเหลือกว่าครึ่งสะสมไว้อีก
ที่จริงแล้วเพื่อนคนตาดีหลายคนเคยหยิบยืมจากเธอในยามฉุกเฉิน
คุณเรณูกล่าวว่าบริษัทเรา เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า และสังคมมอบโอกาส
ให้เธอได้พิสูจน์ว่าเธอมีคุณค่าและสามารถมีส่วนร ่วมสร้างสรรค์ประโยชน์
ให้กับสังคมได้ เธอบอกว่าเธอพยายามทำงานของเธออย่างสุดความสามารถ
ซึ่งรวมทั้งพยายามจำชื่อของผู้ที่โทรเข้ามาด้วย
เธอบอกว่าทุกคืนก่อนเข้านอน เธออยากรีบนอนไวๆ
เพื่อจะได้รีบตื่นข ึ้นมาทำงาน เธออดใจรอจะมาทำงานไม่ไหว
แหมอย่าหาว่าดิฉันบ่นเลยคะ แต่พวกตาดีๆอย่างพวกเรากลับภาวนา
ให้ถึงวันหยุดเร็วๆเสียนี่กระไร" สมจิตจบเรื่องด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ
อย่างคนอารมณ์ดี
เมื่อชนะมาเล่าเรื่องนี้ให้กับผมฟังในรถระหว่างที่เราเดินทางไปพบลูกค้าที่นวนคร
ผมจึงเสริมความเห็นของผมไปว่า " เราน่าจะเล่าเรื่องนี้ให้คนที่มาเข้าอบรม
กับเราฟังบ้างนะ บ่อยครั้งเรามักจะได้ยินคนบ่นว่างานหนัก
หรือไม่ก็ปัญหาเรื่องงานมีมาก สิ่งที่คุณเรณูมีแตกต่างกับเรา
ไม่ใช่ว่าเธอตาบอดหรอกครับ ความจริงพวกเราต่างหากที่บอด
เราทัศนคติบอดไงละ เราได้รับสิทธประโยชน์ต่างๆมากมาย
จากนายจ้างจนเคยชินกระทั่งมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น
ยิ่งนานวันเรายิ่งเรียกร้องมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงปลายปีแบบนี้
ในขณะที่คุณเรณูกลับมองแตกต่างกับเราอย่างสิ้นเชิง
บางคนเบื่องานจนอยากลาออกไปอยู่กับบ้านเฉยๆ
มัน ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ Dr. Denis Waitley
ผู้แต่งหนังสือขายดีชื่อ 'The psychology of winning'
เขายกรายงานวิจัยในอเมริกาที่บอกว่าผู้เกษียณอายุออกจากงานไป
โดยไม่มีภาระกิจอะไรทำมีอายุเฉลี่ยเพียงแค่เจ็ดปีเท่านั้น
พวกเขาตายเพราะความรู้สึกด้อยคุณค่า
หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าเฉาตายนั่นเองครับ
เราบางคนมีโอกาสได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรัก
ในขณะที่คนจำนวนมากไม่มีโอกาสอย่างนั้น
อย่างไรก็ตามเรามีสิทธิที่จะเปลี่ยนมุมมองโดยหันมารัก
และหลงไหลในสิ่งที่เราทำได้ โดยไม่ต้องรอให้ตาบอดแบบคุณเรณูก็ได้
|
โดย : ซึซึอิ [ 19/03/2008, 14:36:23 ] |
|
|
|
E-mail: webmaster@thaibg.com |
Copyright 2002-2024@www.ThaiBG.com (Thailand), All Rights Reserved |
|
|
|
|