[ แสดงกระทู้ท้งหมด]


หมากรุกไทย.....ในเรื่องสั้นออนไลน์


รายละเอียด

ต้นสนกับใบคา

คาทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรง เหลืออีกแค่สองชั้นเท่านั้นเขาก็จัดหนังสือเสร็จเสียที
แม้จะรู้ว่าคงไม่เกินสามเดือนหนังสือในชั้นทั้งสิบเอ็ดก็วางเปะปะสับสนเหมือนก่อนหน้านี้
แต่เขาก็พบว่าอย่างน้อยให้มันดูเป็นระเบียบสักสามสี่เดือนครั้งก็ยังดี
และทุกครั้งที่นำมันมาจัดเรียงกันใหม่ เขาจะต้องมีอะไรให้ประหลาดใจเสมอ
บางทีเขาก็พบหนังสือที่คิดว่าหายไปนานมาแล้ว
บางทีเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าซื้อหนังสือเล่มเดิมมาซ้ำถึงสองหรือสามเล่ม บางทีเขาก็เจอที่คั่นสวยๆ
และเมื่อตะกี้นี้ เขาเจอข้อความซึ่งเขียนด้วยลายมือของเขาเอง

คานอนพลิกดูหนังสือเล่มนั้นอีกครั้ง เขาแน่ใจว่าเป็นเล่มที่ยังไม่เคยอ่านจริงจังมาก่อน
แต่ที่ตัดสินใจซื้อก็ด้วยเหตุผลพื้นๆว่าปกแข็ง ภาพสวย และราคาไม่แพงนัก มันเป็นหนังสือแปลฉบับสองภาษา
ภาคแรกเป็นภาคแปลภาษาไทย ส่วนภาคหลังเป็นภาษาบาลีอักษรไทย เขาดูชื่อปกหนังสือและพยายามสะกดคำอ่าน
‘โลกสัณฐานโชตรตนคัณฐี’ ควรอ่านว่า โลก-สัน-ถาน-โชด-ตะ-นะ-คัน-ถี หรือ โล-กะ-สัน-ถาน หรือ
โช-ตะ-ระ-ตะ-นะ หรืออะไรดี... สุดท้ายเขาตัดสินใจอ่านตามตัวสะกดบาลีอักษรไทยว่า
โล-กะ-สัน-ถา-นะ-โช-ตะ-ระ-ตะ-นะ-คัน-ถี คาพลิกหาหน้าที่พบข้อความเมื่อสักครู่
จำได้ว่าเขาเจอมันขณะเปิดดูรูปภาพแบบผ่านๆ เป็นภาพจากสมุดภาพไตรภูมิสมัยกรุงธนบุรี นั่นไง
คาเจอมันแล้ว...

ดูจากภาพมีสัตว์นานามาชุมนุมกัน ไม่ว่าจะเป็นกวาง ช้าง เสือดาว หมูป่า สิงห์
และตัวหน้าตาประหลาดที่เขาไม่รู้จัก
ใต้ภาพมีคำบรรยายสั้นๆว่าเป็นภาพสัตว์จตุบาทเลือกสีหราชเป็นพญาครั้งปฐมกัลป์ คาคิดในใจ
นี่จักรวาลเราเป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่สมัยโน้นแล้วหรือ สมัยโน้นของเขานั้นถ้าไม่หมายถึงปฐมกัลป์
แต่หมายเอากลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ก็นับว่าน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย!
เมื่อนึกภาพสีหราชแจกใบปลิวออกหาเสียงกับเหล่าจตุบาทคาก็ปริยิ้มออกมาให้กับหน้านั้น

เขายิ้มกว้างอีกครั้งให้กับความขี้ลืมของตัวเอง และรวมถึงโชคชะตาที่ไม่เล่นตลกจนเกินไป
คาอ่านข้อความนั้นซ้ำเกือบสิบเที่ยว

วันนี้อีกสองปีข้างหน้านัดเจอสนที่ร้านกาแฟโอเปอร์ตีการ์ซอง’

เขาเขียนมันด้วยดินสอเมื่อสองปีที่แล้ว... ชื่อ‘สน’... คาใช้เวลานึกครู่หนึ่งก็ร้องอ๋อออกมา สน
เพื่อนทางอินเทอร์เน็ตคนนั้นนั่นเอง ถ้าคาจำไม่ผิด ตอนนั้นสนกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก
และใกล้จะสอบเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย มันเป็นคืนที่เขาคุยผ่านเน็ตเวิร์คจนสว่าง
ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้เขายังจำได้แม้กระทั่งเรื่องที่คุยกันคืนนั้น และจำได้แม้กระทั่งชื่อ
‘นกกระเรียนคาบกิ่งท้อบินไป’... ชื่อที่เขาใช้ในโปรแกรมแช๊ท เอ๊ะ
จำได้ทั้งๆที่คาใช้ชื่อนี้แค่ครั้งเดียว!

สนถามเขาว่านกกระเรียนคาบกิ่งท้อไปไหน
“ขุนเขาเปงไหล่” คาตอบ โดยไม่คิดที่จะถามว่าคนที่ถามมานั้นคือใคร
ในเมื่อฝ่ายโน้นก็ไม่อยากรู้ว่าเขาเป็นใครเช่นกัน เมื่อสนถามต่อว่านกกระเรียนไปขุนเขาเปงไหล่ทำไม
คาจึงอธิบายบทกวีของฮั่นชานให้เขาฟัง
ชื่อนกกระเรียนคาบกิ่งท้อบินไปเป็นวรรคแรกในบทหนึ่งของบทกวีที่เขาชื่นชอบ
ว่ากันว่าเป็นผลงานรจนาของฮั่นชานบัณฑิตยากไร้ที่ปลีกตัวซ่อนวิเวกในเขาเทียนไท้
คาไม่สามารถตอบสนได้ว่านกกระเรียนไปขุนเขาเปงไหล่ทำไม
แต่เขาก็เสนอความเห็นว่านกกระเรียนอาจจะอยากไปเที่ยวที่เปงไหล่
หรือไม่บางทีก็มันคงปรารถนาเอาผลท้อไปถวายบรรดาเซียนก็ได้

“นายรู้ใช่ไหมว่าขุนเขาเปงไหล่เป็นที่อยู่ของพวกเซียน อยู่บนเกาะๆหนึ่งทางทะเลตะวันออก” แน่ล่ะ
เขาไม่รู้ คาจึงพูดต่อ “และพวกเซียนก็กินผลท้อนั่นแหละเป็นอาหาร แปลกดีนะ ว่ามั้ย”


คาลุกจากเตียงเดินไปรื้อชั้นหนังสือแล้วลงมือหาขุนเขายะเยือก ‘ให้ตาย’ เขาบ่นกับตัวเอง
‘เพิ่งจัดเมื่อตะกี้แท้ๆ ทำไมมันหายากจัง’ นั่นไง อยู่นั่นไง
เขาพลิกสองสามนาทีก็เจอนกกระเรียนคาบกิ่งท้อบินไป...

๖๖.
นกกระเรียนคาบกิ่งท้อบินไป
ทุกพันลี้จึงจะหยุดยั้งลงพักผ่อน
มันปรารถนาจะเดินทางไปยังขุนเขาเปงไหล่
โดยนำผลท้อติดไปเป็นเสบียง
ยังห่างไกลจากจุดหมาย ขนของมันเริ่มหลุดร่วง
เป็นนกหลงฝูงดวงใจเศร้าอาดูร
และเมื่อบินย้อนกลับมายังรวงรังที่พำนัก
คู่ของมันก็จดจำไม่ได้อีกแล้ว.

คายังจำความเงียบที่เกิดขึ้นหลังจากเขาพิมพ์บทกวีบทนี้ได้ดี
ตอนนั้นเขาคิดว่าคนที่คุยด้วยอาจจะหนีไปแล้ว
หรือไม่สายโทรศัพท์ก็คงตัดหรือหลุด เขาทำอะไรระหว่างที่รอบทสนทนาตอบกลับของอีกฝ่าย คาจำไม่ได้
แต่ประมาณสิบห้านาทีต่อมาสนก็ถามว่าทำไมบทกวีเศร้าเหลือเกิน แล้วคาชอบความเศร้าหรือไง และถ้าเป็นเขา
เขาคงไม่ลืม สนเชื่อว่าเขายังจดจำคู่ของเขาได้

“จริงหรือ” คาถาม “งั้นอีกสองปีเรามาเจอกันนะ” เขาพูดโดยไม่คิดจริงจังอะไรนัก “ถ้านายไม่ลืม
อีกสองปีเรานัดเจอกันที่ร้านกาแฟ ตกลงไหม” สนตอบตกลงและขอให้คาช่วยลอกบทกวีของฮั่นชานให้เขาอ่านอีก
เมื่อสว่าง ก็ครบหนึ่งร้อยบทพอดี

จากวันนั้นมา คาไม่พบสนออนไลน์อีกเลย... ‘วันนี้ก็ครบสองปีแล้วสิ’ เขานึกในใจด้วยความตื่นเต้น พลางคิด
สนจะเป็นคนยังไง หน้าตาท่าทางแบบไหน ชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร เขาไม่เคยรู้ข้อมูลเลย
สิ่งเดียวที่คาคิดว่าเขาพอรู้ก็คือความอ่อนไหว บทกวีตอนหนึ่งว่า ‘ใครเลยจะอาจสลัดพ้นพันธนาการของโลกนี้
แล้วมานั่งอยู่กับข้าพเจ้าในท่ามกลางเมฆขาว’ สนตอบแบบติดตลกแม้เขาไม่อาจสลัดพ้นพันธนาการ
แต่เขาก็ยินดีจะมานั่งเป็นเพื่อนใครก็ตามที่ต้องการเพื่อนและนั่งรออยู่ตรงนั้น

คาใช้เวลาจัดหนังสือต่ออีกหนึ่งชั่วโมง ต่อมาเขาก็ลงไปรอพบสนที่ร้านโอเปอร์ตีการ์ซอง...


“อ้าวคา ทำไมวันนี้มาแต่หัววัน” ลุงสุเจ้าของร้านเอ่ยทัก “แล้วเอาเหมือนเดิมมั้ย หรืออยากนั่งพักผ่อน
ก็ตามสบายเลยนะ” เจ้าของร้านคุ้นเคยกับแขกหนุ่มขาประจำดี “เอ้ ดูหน้าเหนื่อยๆ ไม่สบายรึป่าว
ยาอยู่ในตู้ไปหยิบเอาเองได้เลย” เขาสั่งคาปูชิโนเย็นแบบเดิม ซึ่งหมายถึงให้แทนที่นมสดด้วยนมข้นหวาน
และไม่ต้องตีนมให้เป็นฟองแล้วเอามาโปะหน้ากาแฟ

เขาเลือกนั่งโต๊ะเดียวกับชายสองคนที่กำลังโขกหมากรุกกันอยู่ คาชอบเล่นหมากรุก
แต่เขาก็ไม่เคยออกไปโขกกระดานกับใครจริงๆสักที
ทุกวันเขาจะต่ออินเทอร์เน็ตแล้วเข้าไปยังเซิร์ฟเวอร์เกมหมากรุกออนไลน์
เสียงโขกกระดานดังป๊กๆก็เป็นเสียงสังเคราะห์โดยการ์ดเสียง
ไม่ว่าจะเดินแต้มเด็ดชนิดที่เซียนต้องผวามันก็ป๊กดังเท่ากับเดินหนีเขาไล่แบบหัวซุกหัวซุน
คาตั้งใจจะดูหมากรุกรอสนจนร้านปิด ถ้าสนไม่มาก็แล้วกันไป ขนาดเขายังลืมเลย
ว่าแล้วคาก็ขอบคุณโชคชะตาที่ดลใจให้เขาตื่นมาจัดหนังสือตั้งแต่เช้า
โดยเนื้อแท้แล้วมันก็เป็นการด่วนขอบคุณเร็วไปอยู่สักหน่อย
เพราะถ้าสนจำไม่ได้หรือไม่ใส่ใจเอาสัญญาเป็นจริงเป็นจัง
เขาก็จะเอาคำขอบคุณคืนและกล่าวโทษโชคชะตาอีกหลายรอบ บางทีอาจจะทุกรอบที่เขานึกขึ้นได้ก็ได้...

กาแฟถูกยกนำมาเสิร์ฟเป็นแก้วที่สาม “วันนี้ว่างหรือไงคา” ลุงสุถาม
เขาตอบไปตามตรงว่ากำลังรอเพื่อนคนหนึ่ง แต่ไม่รู้คนๆนั้นจะมาหรือเปล่า
ลุงสุพยักหน้าแล้วเดินกลับเค้าท์เตอร์

เขาเริ่มคิดว่าจะทักทายสนอย่างไรดี สวัสดีครับ ดีจังนะครับที่คุณยังจำได้ อ้อ ผมคาไง คุณสนใช่ไหมครับ
หรือเขาควรกลับขึ้นไปหยิบขุนเขายะเยือกของฮั่นชานมาตั้งไว้บนโต๊ะเพื่อเป็นเครื่องหมายให้อีกฝ่ายรู้
หรือเอารูปนกกระเรียนดี แล้วจะไปหามาจากที่ไหนล่ะ ผลท้อนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย
หน้าตาเป็นยังไงเขาก็นึกไม่ออกด้วยซ้ำ ถ้าให้คาเดา เขาก็คงว่าคล้ายกับลูกมะเขือเทศ
หรือจะเอากระดาษมาเขียนคำว่าคาแปะไว้ดี ไม่ดี ไม่ดีแน่ ทำไมเขาต้องให้สนเห็นก่อนด้วยล่ะ
บางทีสนอาจจะเดินเข้ามาแล้วถามหาคนชื่อคาก็เป็นได้
หรือไม่ก็สนเองนั่นแหละที่ถือป้ายตัวโตๆว่าต้นสนเข้ามาในร้าน

คนเล่นหมากรุกเปลี่ยนหน้าไปหลายคน และรูปหมากก็เปลี่ยนไปหลายแบบ
คาคิดว่าวันนี้เขาได้ดูครบทั้งม้าเตี้ย ม้าสูง ม้าซ้าย ม้าขวาและม้าอุปการริมกระดานแล้ว
แต่ถ้าเล่นเองคงไม่ได้สังเกตรอดูสนแน่ เหลืออีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงร้านก็จะปิด
ในใจเขามีทั้งความว่างเปล่าและขยะบรรจุจนเต็ม

“เอ็งรอใครฮึคา ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืนเลย รอหญิงละสิ ท่าจะอกหักแล้วมั้ง”
ครั้งนี้คายิ้มแห้งๆแทนคำตอบ เขามั่นใจแล้วว่าสนลืม บางทีเขาควรมั่นใจได้ตั้งแต่ตอนบ่ายสามโมง
แต่ก็ดูเหมือนความมั่นใจของคนเรากับความหวังนั้นจะเดินไปพร้อมๆกันได้ เพราะทั้งๆที่มั่นใจแล้วว่าสนลืม
แต่ก็ยังหวังว่าเขาจะนึกได้ภายในนาทีสุดท้าย ‘ให้ตาย นี่มันนาทีสุดท้ายแล้วจริงๆ’
การรับรู้เช่นนี้ทำให้จิตใจของเขาหงอยเหงา เขาคิดว่าพวกเรานั้นเกิดมาพร้อมกับความแปลกแยก
ความแปลกแยกได้สร้างตัวตนให้เกิดขึ้นในคนเช่นเขา เขาตอบคำถามของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากำลังรอใคร
หรือที่ถูกควรจะเป็นกำลังรออะไร! คาเดินออกจากร้านก่อนเที่ยงคืนประมาณสิบห้านาที
เขาเหนื่อยและเซื่องซึม
รู้สึกอ่อนล้าและใจสั่นด้วยฤทธิ์คาเฟอีน ขณะกำลังกดลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังห้องพักชั้นห้า
เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ‘ให้ตาย ลืมได้ไงวะ’

เขาวิ่งกลับไปร้านโอเปอร์ตีการ์ซอง ลุงสุกำลังเก็บร้าน และยกเก้าอี้ขึ้นวางบนโต๊ะ

“เอ้า หอบมาเชียว ลืมอะไรไว้รึ” ลุงสุถาม
“โธ่ ยังมาแกล้งถาม... ค่ากาแฟนะเท่าไหร่ละลุง สี่แก้ว ไม่รู้ผมจะนอนหลับรึเปล่าคืนนี้”
คราวนี้ลุงสุเป็นฝ่ายหัวเราะ “ตลกอะไรบอกผมมั่งสิ” คาถาม

“ตะกี้พอคาเดินออกไป ลุงก็ตะโกนเรียก คาเอ๊ย คาเอ๊ย แต่บรรดาเซียนเล่น หมากรุกไม่ยอมเลิก
เลยต้องไล่พวกมันก่อน ค่อยไล่ตามแกทีหลังก็ได้ ห้อง ๕๑๐ นะลุงรู้จักดี” ลุงสุยิ้ม
“ตอนกำลังไล่พวกนั้นนี่แทบต้องคว่ำกระดานกันเลยหล่ะ พอดีก็มีลูกค้าเดินเข้ามาถามว่าลุงเรียกคาใช่ไหม
หรือไงนี่แหละ ลุงก็บอกว่า อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ก็คาลูกค้าประจำนะ วันนี้มานั่งรอใครก็ไม่รู้ทั้งวัน
ซัดกาแฟไป ๔ แก้ว สงสัยรอหญิง พอเค้าไม่มาก็เดินเซื่องกลับไปเลย แล้วคงคิดมากจนลืมจ่ายตังค์
พูดแล้วลุงก็หัวเราะ เขาก็หัวเราะด้วย ถามลุงว่าคาดื่มกาแฟอะไรแล้วแก้วละเท่าไหร่
ของแกมันคาปูชิโนพิเศษแก้วละ ๕๕ ถ้าธรรมดา ๖๕ เขาก็ทำหน้าแปลกใจ ลุงถามว่าถ้าสนเดี๋ยวทำพิเศษให้
ที่มันถูกกว่าเพราะใส่นมข้นไม่ใส่นมสด ธรรมดาเค้าใส่นมสดกับฟองนมกัน เขาก็หัวเราะ
สั่งเอาพิเศษให้เขาแก้วหนึ่ง ตอนจ่ายตังค์เขาก็ให้มา ๓๐๐ เห็นลุงทำหน้างงบ้าง เลยบอกว่าของคาด้วย ๔
แก้วก็เป็น ๒๗๕ เพิ่งเดินออกไปตะกี้นี้เอง”

คารีบออกไปดูหน้าร้าน แต่ก็ไม่เหลือใครอยู่บนถนนแล้วในเวลาดึกดื่นป่านนี้

“อ๋อ หรือเพื่อนคาที่รอวันนี้” ลุงสุเดินตามมาสมทบ “เอ้า นี่ลุงลืมไป เขาฝากนี่ให้แกด้วย”

คารับเศษกระดาษแผ่นนั้นมาคลี่อ่าน แล้วรอยยิ้มและความร่าเริงก็คืนสู่เรือนของเขาอีกครั้ง
มันเป็นลายมือที่ดูสะอาดเรียบร้อย เขาอ่านมันอีกสองเที่ยวก่อนพับเก็บใส่กระเป๋า นึกในใจ
เดี๋ยวจะต้องรีบกลับไปเปลี่ยนชื่อเป็นนกกระเรียนคาบกิ่งท้อบินไป...

- จบ -

อ่านเพิ่มเติมที่ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W2681040/W2681040.html

โดย : เห็นมา Member [ 13/01/2007, 09:45:56 ]

  ตะกร้าช็อปปิ้งพลาสติก
  E-mail: webmaster@thaibg.com
Copyright 2002-2024 ThaiBG.com, All Rights Reserved