|
|
[ กลับหน้าหลัก ]
กลับมาอีแล้วคับท่าน ๆทั้งหลาย
สวัสดีมิตรรักนักอ่านทุกท่านครับ หายหน้าหายตาไปนานเลยคับ พอดีติดภาระกิจบางประการ
ทำให้ไม่สามารถหาเรื่องดีดี หรือ เรื่องสนุก ๆ มาเล่าให้มิตรรักนักอ่านได้อ่านกัน วันนี้ผมขอเสนอ
เรื่องจริงเรื่องนึง ในสต๊อก เรื่องเล่าของกระผมเอง เป็นเรื่องที่กระผมอ่านกี่ครั้งก็ยัง
ซาบซึ้งใจทุกครั้ง หลายท่านอาจจะเคยผ่านสายตามาบ้างแล้วก็ได้นะคับ เรื่องนี้อาจจะยาวไปหน่อยนะครับ
แต่รับรองว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ท่านได้ ซึ้งใจจนอาจจะทำให้ใครบางคน มีน้ำหยดน้อยไหลออกจากตาก็ได้
นายนิทาน |
โดย : นายนิทาน [ 25/06/2005, 11:06:31 ] |
1
Subject: ปาฏิหารย์เรื่องจริง
>Date: Thu, 14 Oct 2004 09:32:10 +0700
>
> > > >
> > > > อ่านแล้วซึ้งมากๆ อยากให้ทุกคนได้อ่าน แต่ข้อความยาวไปหน่อย
> > > ต้องมีเวลาอ่านและ
> > > > อ่านรวดเดียวได้ยิ่งดีเลย
> > > > ไม่อย่างนั้นจะอารมณ์เสียมาก
> > > >
> > > >
> > > >
> > > > หากพวกคุณได้อ่านเรื่องๆ นี้ แปลว่าฉันได้จากโลกนี้ไปแล้ว
> > > ฉันได้รับข่าวร้ายที่
> > > > สุด ในวันเกิดครบรอบ
> > > > 18 ปี
> > > > หลังจากเข้ารับการตรวจเมื่อสองสัปดาห์ก่อน
>ฉันกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งเม็ด
> > > > เลือดขาว มันทรมาน
> > > > ร่างกายฉันมากว่าหนึ่งปี
> > > >
> > > > ก่อนจะตัดสินใจไปหาหมอ ผลการตรวจไม่ดีนัก
> > > หมอวินิจฉัยว่าฉันจะอยู่ได้ไปเกินสาม
> > > > เดือน แค่รู้ฉันก็แทบ
> > > > จะตายเดี๋ยวนั้นแล้ว
> > > >
> > > > อาการฉันทรุดลงเร็วมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ
> > > เมื่อต้องเจาะไขสันหลังตรวจแทบทุกวัน
> > > > ฉันหมดกำลังใจ
> > > > ภาวนาให้ฉันตายๆไปให้พ้นทุกข์แทบทุกวันที่ฉันต้องอยู่ที่โรงพยาบาล
> > > >
> > > > คนในครอบครัวจะมาเยี่ยมช่วงเย็นๆ เท่านั้น เพราะต่างคนต่างต้องทำงาน
> > โดยเฉพาะ
> > > > แม่ ที่มาเยี่ยม
> > > > ฉันน้อยที่สุด แม่ไม่เคยร้องไห้อ่อนแอให้ฉันเห็นสักครั้ง
> > > >
> > > > ซึ่งฉันมารู้ที่หลังว่า แม่มาทุกวันแต่แอบร้องไห้อยู่นอกห้อง
>ก่อนจะกลับไป
> > > >
> > > > สำหรับฉัน ช่วงเช้าเป็นเวลาที่ฉันเกลียดที่สุด ฉันเหงา ฉันร้องไห้ทุกวัน
> > > เพียง
> > > > แค่คิดว่ากำลังจะตาย ฉัน
> > > > เพิ่งอายุ 18 ปี
> > > >
> > > > ยังมีอะไรอีกตั้งมากที่ฉันยังไม่ได้ทำ แต่คงไม่มีโอกาสแล้ว
> > เพราะเวลาที่เริ่ม
> > > > อาการเจ็บปวดเมื่อไร ฉัน
> > > > อยากให้หมอฉีดยาให้ฉันตายไปตอนนั้นเสียเลย
> > > >
> > > > ทุกวันช่วงบ่ายฉันจะขนหนังสือมานั่งอ่านที่สวนหย่อมบนตึก เพื่อฆ่าเวลา
>บาง
> > > > ครั้งก็นั่งมองคนอื่นๆ ที่เขา
> > > > กำลังจะได้กลับบ้าน ฉันนึกอยากถอดชุดคนป่วย
> > > >
> > > > แล้ววิ่งออกจากโรงพยาบาล
>หนีไปให้ไกลจากความจริงที่เป็นตอนนี้ให้มากที่สุด
> > > แต่
> > > > ก็ได้แค่คิด เพราะ
> > > > ฉันทำได้แค่ภาวนาให้เพื่อนสักคนมาเยี่ยม
> > > >
> > > > ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีใครมา เพราะอยู่ในช่วงเอนทรานซ์ คงไม่มีใครสนใจฉัน
> > แต่ฉัน
> > > > ก็ยังร้องไห้กับเรื่องนี้ทุก
> > > > วัน
> > > >
> > > > แล้ววันหนึ่ง ฉันก็ได้รู้จักกับ พี
>เขานั่งบนม้านั่งเดียวกับฉันตอนฉันกำลัง
> > > > ร้องไห้ เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้
> > > > เงียบๆ
> > > > "เหงาเหรอ? ให้อยู่เป็นเพื่อนไหม?"
> > คำพูดประโยคเดียวเท่านั้นที่เขาพูดกับฉัน
> > > > เหมือนมีอะไรดลใจ
> > > > ให้ฉันพยักหน้ารับคนแปลกหน้าคนนี้ "อยากตาย"
> > > >
> > > > ฉันร้องไห้ไปสะอื้นไป เล่าเรื่องของฉันให้เขาฟัง
> > เขาสอนให้ฉันรักที่จะมีชีวิต
> > > > ท้ายสุดเขากุมมือฉันพาไป
> > > > ส่งที่ห้อง บอกฉันแค่ว่า "อันต้องอดทน
> > > >
> > > > เพราะอันจะต้องอยู่ได้อีกนาน เชื่อเรานะว่าจะต้องดีขึ้น" ฉันยิ้มรับ
>แต่ไม่
> > > > เชื่อหรอกว่าอะไรๆ มันจะดี
> > > > ขึ้น นับจากวันนั้น
> > > >
> > > > ฉันก็ได้พีเป็นเพื่อนใหม่ที่คอยมาเยี่ยมทุกวัน
> > พร้อมกับอาการที่ดีขึ้นของฉัน
> > > >
> > > > ทางบ้านฉันไม่ขัดข้องอะไรที่ฉันจะสนิทกับพี พีเป็นคนช่างคุย
> > > มีเรื่องมาเล่าให้
> > > > ฉันฟังทุกวัน ฉันถามอะไร
> > > > เขาก็ตอบได้เสมอ
> > > >
> > > > เขาว่าเขาดูรายการทีวีแทบทุกช่อง แม้แต่อาการฉันเขาก็รู้ละเอียดทีเดียว
> > จนฉัน
> > > > รู้สึกเหมือนอาการ
> > > > เจ็บปวดน้อยลงเวลาที่พีอยู่ด้วย
> > > >
> > > > เขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจความทุกข์ และความเจ็บปวดของฉัน
> > เขาจะคอยเอาใจฉันไม่
> > > > ว่าฉันจะต้องกา
> > > > รอะไรก็ตาม พีจะต้องหามาให้ได้
> > > >
> > > > เพื่อแลกกับให้ฉันเลิกคิดว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่นาน ฉันเคยถามพีว่า
> > เขาไม่
> > > > ต้องไปเรียน หรือทำงาน
> > > > เหรอ เขาว่าเขาต้องมาเยี่ยมฉันทุกวันจนไม่มีเวลา
> > > >
> > > >
>แต่ไม่ว่าฉันจะถามอะไรต่อเขาก็จะเลี่ยงจนฉันไม่นึกอยากรู้เรื่องของเขาแล้ว
> > > >
> > > > แม้ฉันจะดีขึ้น มีพีมาอยู่เป็นเพื่อนทั้งวัน แต่ความเหงาแบบเดิมๆ
>ก็กลับมา
> > > > เยือนฉันอีกครั้ง
> > > > เมื่อฉันต้องทนอยู่ที่โรงพยาบาลร่วมสองเดือน อาการของฉันกลับมาทรงตัว
> > > >
> > > > ฉันขอพ่อกับแม่กลับไปอยู่ที่บ้าน แต่พวกท่านไม่ยอม ฉันเก็บมาบ่นกับพีว่า
> > > พวกเขา
> > > > ต้องการให้ฉันตายเร็ว
> > > > ขึ้น เพราะการต้องอยู่ที่โรงพยาบาลทำให้ฉันรู้สึกแย่
> > > >
> > > > และไม่มีวันดีขึ้นได้ ฉันยังมีอะไรอยากออกไปทำอีกตั้งหลาย ก่อนจะตาย
> > > >
> > > > รุ่งขึ้นหมออนุญาติให้ฉันออกไปพักฟื้นที่บ้านได้
> > > แต่ต้องมาโรงพยาบาลวันเว้นวัน
> > > > เพื่อตรวจอาการ ฉันมั่น
> > > > ใจว่าพีเป็นคนจัดการเรื่องนี้
> > > >
> > > >
> > เพราะเขารับปากกับแม่ฉันว่าจะเป็นคนพาฉันมาที่โรงพยาบาลแทนทุกคนที่ต้องทำงาน
> > > > แม้ว่าฉันจะได้จอ
> > > > พีแค่วันเว้นวัน แต่ฉันกลับรู้สึกดี
> > > >
> > > > ที่จะได้คอยให้ถึงวันที่ต้องไปโรงพยาบาลกับพี
> > > เราสองคนจะไปที่โรงพยาบาลแต่เช้า
> > > >
> > > > เพื่อที่ตอนสายจะได้มีเวลาไปดูหนังหรือเดินเที่ยวก่อนกลับบ้าน
>พีบอกให้ฉัน
> > > > เขียนหรือเล่าให้เขาฟังว่าพ
> > > > รุ่งนี้อยากทำหรือทำอะไรไปบ้าง
> > > >
> > > > เพื่อฉันและเขาจะได้รู้ว่าเหลืออะไรที่อยากจะทำอีกไหม
>ฉันว่าเป็นวิธีที่ดี
> > > > เพราะฉันจะได้มีกำลังใจสู้
> > > > ต่อไปเรื่อยๆ ที่ละวันที่จะอยู่ทำรื่องนั้นๆ
> > > >
> > > > เราสองคนสนิทกันมากจนพี่สาวฉันแซวว่าเราเป็นแฟนกัน
> > > ฉันก็เคยแอบคิดแต่ไม่เคยถาม
> > > > เขาเลย จนได้
> > > > โอกาสถามวันหนึ่ง แต่เขาว่า
> > > >
> > > > "มันขึ้นอยู่กับอันด้วย ว่าอันอยากให้พีอยู่ในฐานะอะไร
> > ความรู้สึกอย่างนี้มัน
> > > > ต้องคิดตรงกันสองคน ให้คิด
> > > > แค่ฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก
> > > >
> > > > แต่ยังไงพีก็ยังคงเป็นเพื่อนของอันนะ"
>ฉันไม่เข้าใจว่ามันลำบากมากเหรอที่จะ
> > > > ตอบให้ตรงคำถาม
> > > > แต่ฉันก็ไม่ถามอีก
> > > >
> > > > เราเปลี่ยนเรื่อง พีอยากให้ฉันรีบกลับบ้านวันนี้
> > > แต่ฉันขอให้พีไปเดินซื้อเสื้อ
> > > > ผ้ากับฉันที่ห้าง ซึ่งฉันโดนบ่น
> > > > เรื่องนี้ตลอด
> > > >
> > > > เพราะฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ทุกอาทิตย์ แต่ฉันมีเหตุผลส่วนตัว
> > ฉันก็แค่อยากจะสวย
> > > > ก่อนตายเท่านั้นเอง พี
> > > > ไม่พูดอะไรอีก เขาเดินหน้ามุ่ยถอนใจยาวๆทั้งวัน
> > > >
> > > > ฉันเลยแกล้งขอให้เขาดูหนังกับฉันอีกเรื่องก่อนกลับ พีหายหน้าไปสามวัน
> > > พอเขามาหา
> > > > ฉันก็ต่อว่าเขา
> > > > ขนานใหญ่ หาว่าเขาเบื่อฉัน
> > > >
> > > > และแกล้งปล่อยให้ฉันรอจนไม่ได้ไปหาหมอ
> > เพราะอยากให้ฉันกลับไปอยู่โรงพยาบาลอีก
> > > > ครั้ง เขาจะได้
> > > > ไม่ต้องลำบาก
> > > >
> > > > ฉันพูดออกไปแล้วก็เสียใจ และกลัวว่าพีจะโกรธ แต่ตรงกันข้าม
> > > >
> > > > พีเสียใจกับเรื่องนี้มาก เขาขอโทษฉัน
> > > แต่ไม่มีคำแก้ตัวหรือเหตุผลอะไรมาอ้างเลย
> > > > หลังจากตรวจร่าง
> > > > กายแล้ว พีพาฉันไปเดินห้างที่ไกลไปอีกห้างแทนห้างเดิม
> > > >
> > > > ฉันเพิ่งได้สังเกตว่าวันนี้พีดูโทรมมาก หน้าตาไม่สดใสเหมือนทุกวัน
> > บังเอิญที่
> > > > ห้างนี้อยู่ใกล้กับบ้านเพื่อนส
> > > > มัยมัธยมปลายของฉัน
> > > >
> > > > แจงเดินคลอเคลียมากับหนุ่มหล่อ ตรงมาทางฉัน เธอจำฉันได้
> > แจงทักทายและแนะนำแฟน
> > > > หนุ่มรุ่นพี่ที่คณะ
> > > > ให้รู้จัก
> > > >
> > > > ฉันยินดีกับเธอที่เอนทรานซ์ติด ก่อนกลับแจงให้เบอร์มือถือกับฉัน
> > > ฉันเริ่มรู้สึก
> > > > เห็นพีขัดหูขัดตา ฉันเดินตาม
> > > > หลังพีไปเงียบๆ
> > > >
> > > > บางขณะฉันนึกอยากจูงมือกอดแขนเขาบ้าง แต่ต้องชักมือกลับ
>เพียงเพราะพีไม่สูง
> > > > ไม่เท่ห์ เหมือนแฟน
> > > > ของแจง แถมชอบแต่งตัวด้วยเชิ้ตตัวใหญ่ๆ
> > > >
> > > > ฉันเคยชี้ให้เขาดูชุดที่หุ่นแต่งหน้าร้าน เขาไม่ชอบ แต่ฉันชอบ
> > > ฉันขึ้นเสียงใส่
> > > > เขา พีเงียบไปพักหนึ่งก่อน
> > > > จะถามฉันกลับ "ถ้าอันชอบใครสักคน
> > > >
> > > > อันจะชอบที่เป็นเขา หรือเสื้อผ้าของเขา" ฉันตอบแทบไม่ต้องคิด
> > > "ก็ทั้งสองอย่าง"
> > > > "อย่างนั้นอันก็ยัง
> > > > ไม่เคยรักชอบใครจริงๆ" ฉันนิ่งไป ก่อนจะถามอีก
> > > >
> > > > "แล้วพีเคยชอบใครจริงๆหรือไง" "เคย"...
คำตอบของพีทำให้ฉันนอนไม่หลับ
> > อยากรู้
> > > > ว่าคนที่พีชอบ
> > > > คือใคร
> > > > ฉันแอบเข้าข้างตัวเองว่าถ้าเป็นฉัน "ไม่หล่ะ"
> > ฉันบอกตัวเองว่าพียังไม่เท่ห์พอ
> > > > จะเป็นแฟนฉัน แล้วถ้า
> > > > ไม่ใช่ฉัน
> > > >
> > > > ฉันรู้สึกเศร้าลึกๆ พียังคงสม่ำเสมอ มารับฉันตามที่เคยรับปาก
> > เพียงแต่ฉันเอง
> > > > ที่ไม่ค่อยมีอะไรคุยกับเข
> > > > าแล้ว
> > > > ระยะหลังฉันจะขอให้เขาส่งฉันกลับบ้านเลยหลังจากออกจากโรงพยาบาล
> > > แจงคงรู้สึกแปลก
> > > > ใจไม่น้อย ที่
> > > > ฉันโทรหาวันนี้ ฉันนัดแจงมาเจอที่ห้างใกล้ๆ บ้าน
> > > >
> > > > ฉันโกหกแม่ว่าออกไปกับพี แจงมาพร้อมผู้ชายคนใหม่
> > แม้ว่าจะหล่อสู้คนแรกไม่ได้
> > > > แต่ก็ดูดีไม่น้อย แจง
> > > > แอบบอกฉันว่า คนนี้เป็นแค่กิ๊ก ก่อนจะถามถึงพี
> > > >
> > > > ซึ่งเธอเข้าใจว่าเป็นแฟนฉัน "ไม่ใช่" ฉันรีบปฏิเสธ ฉันยังไม่มีแฟน
> > > แต่ก็อยากมี
> > > > ฉันเตือนแจงว่าคบ
> > > > หลายๆ คน ระวังแฟนจะจับได้ แจงท่าทางไม่แยแสกับคำเตือนฉัน
> > > >
> > > > เธอว่า คนเราเดี๋ยวๆ ก็ตายแล้ว คบทีละคนกว่าจะเจอคนที่ใช่เสียเวลา
> > แจงยังอาสา
> > > > ที่จะหาแฟนให้
> > > > ฉันลองคบดูด้วย เธอให้ฉันไปถ่ายรูปสติ๊กเกอร์
> > > >
> > > > เพื่อจะได้มีรูปไปให้หนุ่มๆ ดู แจงโทรมาบอกหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ว่า
>มีคน
> > > > สนใจอยากรู้จักฉัน
> > > > พรุ่งนี้ให้เจอกันที่ห้าง กำชับให้ฉันแต่งตัวน่ารักๆ
> > แต่พรุ่งนี้ฉันต้องไปโรง
> > > > พยาบาล ฉันรีบโทรไปบอกพี
> > > > ว่า ไม่ต้องมารับฉัน
> > > >
> > > > เพราะจะไปกับครอบครัว และบอกทุกคนว่าไปกับพีเหมือนทุกครั้ง
> > > >
> > > > เป็นครั้งแรกที่ฉันโกหกกับคนมากอย่างนี้ มันน่าตื่นเต้นมาก
>แจงนั่งอยู่กับ
> > > > ผู้ชายที่บอกว่าชอบฉัน (จากรูป)
> > > > เขาชื่อ วิน
> > > >
> > > > สูงผิวเข้มและหน้าคม ที่สำคัญเขาคุยสนุกไม่แพ้พี
>จนฉันเองเป็นฝ่ายที่เอาแต่
> > > > เงียบเพราะว่าประหม่า นี่
> > > > เป็นครั้งแรกที่ฉันมีคนมาจีบ
> > > >
> > > > วินชวนฉันไปดูหนังต่อ ส่วนแจงขอแยกกลับไปแล้ว
>ในโรงหนังวินกุมมือฉันไว้แน่น
> > > > เขาว่ามือฉันเย็น
> > > > เจี๊ยบเลย เราแลกเบอร์โทรกันตอนที่เขามาส่งที่บ้าน
> > > >
> > > > วินเป็นคนแรกที่ชมว่าฉันหน้ารัก ฉันไม่ได้บอกเขาเรื่องอาการป่วยของฉัน
> > ฉันโทร
> > > > หาพี บอกเขาว่าตั้ง
> > > > แต่นี้ไม่ต้องมารับฉันไปโรงพยาบาลแล้ว
> > > >
> > > > ฉันจะไปกับคนที่บ้านแทน ที่จริงฉันให้วินพาไป
>วินเริ่มบ่นเรื่องพาฉันมาโรง
> > > > พยาบาลบ่อยๆ หลังจากที่
> > > > มากับฉันแค่สามครั้ง
> > > >
> > > > เขาว่าเสียเวลา เขาไม่ค่อยชอบรออะไรนานๆ และบรรยากาศทำให้เขารู้สึกแย่
>ฉัน
> > > > เริ่มรู้สึกเป็น
> > > > ภาระกับเขา ที่จริงฉันก็ไม่อยากมาโรงพยาบาล
> > > >
> > > > เลยตัดสินใจที่จะไม่มาอีก เวลาที่อยู่กับเขาฉันจะไม่กินยา
> > > >
> > > > ฉันไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันป่วย ฉันกลัวเขาจะไม่สนใจฉันอีก
> > > ฉันไม่ไปโรงพยาบาลได้
> > > > สองอาทิตย์แล้ว
> > > > แต่วินก็หาเรื่องบ่นฉันอีก
> > > >
> > > > ที่ต้องมาส่งฉันที่บ้านก่อนทุ่มทุกวัน เขาหาว่าฉันเป็นลูกแหง่ ไร้เดียงสา
> > > >
> > > > ฉันนิ่งไปไม่มีข้อแก้ตัวที่จะเถียง จนเขากลับไป
> > > ฉันตกตะลึงมองพีที่เดินลงจากรถ
> > > > มาหา แวบแรกฉัน
> > > > กลัววินจะเห็นพี
> > > >
> > > > พีมาแค่มารอฉันนานแล้ว
> > เขาตั้งใจมาบอกให้ฉันไปโรงพยาบาลและกินยาด้วยเท่านั้น
> > > > ฉันแปลกใจที่พีรู้
> > > > เขาว่ารู้จากพยาบาล ฉันตกใจมากกว่าจะโกรธที่เขารู้เรื่อง
> > > >
> > > > ฉันตวาดใส่เขาเป็นครั้งแรก หาว่าเขาจุ้นจ้านมายุ่งกับชีวิจฉันมากไป
>พีนิ่ง
> > > > เงียบใจเย็นเหมือนทุกครั้ง
> > > > พร่ำบอกแค่ขอโทษ
> > > >
> > > > ก่อนกลับพียื่นโทรศัพท์มือถือให้ฉัน เขาบอกให้เก็บเอาไว้ใช้เผื่อจำเป็น
>"ดู
> > > > ท่าทางเขาจะดูแลอันได้นะ
> > > > เราคงไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว" พีกลับไปแล้ว
> > > >
> > > > ฉันนอนร้องไห้ทั้งคืนเพราะโมโห ฉันโมโหตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าเพราะ
> > > >
> > > > พี่รู่เรื่องวิน หรือว่าที่ฉันตวาดพี สามเดือนกว่าที่พีไม่ติดต่อฉันเลย
>สาม
> > > > เดือนกว่าที่ฉันคบวินแต่ไม่มีอะไร
> > > > คืบหน้าไปกว่าวันที่พีเจอ
> > > >
> > > > เพราะฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นเวลาที่จะได้เจอเขา
> > หรือกระวนกระวายใจเวลาที่เขาไม่
> > > > โทรมา ฉันกลับนึก
> > > > ไปถึงพี อยากรู้ว่าเขาหายไปไหน
> > > >
> > > > และทำอะไร กับใคร??? อาการของฉันเริ่มแย่ลง
> > ฉันต้องกลับไปอยู่ที่โรงพยาบาลอีก
> > > > ครั้ง
> > > > คราวนี้ฉันอยู่ประมาณหนึ่งเดือน ก่อนจะได้กลับมาพักที่บ้าน
> > วินโทรมาหาหลังจาก
> > > > ฉันออกจากโรงพยาบา
> > > > ลได้สองวัน
> > > >
> > > > เขาขอโทษที่หายเงียบไปเพราะติดสอบ วินไม่รู้เรื่องที่ฉันเข้าโรงพยาบาลเลย
> > > > อาการของฉันช่วงนี้ดีที่
> > > > สุดก็แค่ทรงตัว ฉันรู้ตัวดีว่าคงอยู่ได้ไม่นาน
> > > >
> > > > ความคิดอยากตายหวนกลับมาอีกครั้ง
>เมื่อไม่มีใครติดต่อฉันมาอีกเลยนานกว่าสอง
> > > > เดือน ความเหงา
> > > > มันทรมานกว่าความเจ็บปวดหลายเท่า เวลานี้ฉันไม่นึกถึงวินเลย
> > > >
> > > > คนที่ฉันอยากเจอคือพี เดือนหน้าจะถึงวันเกิดฉันแล้ว
> > > >
> > > > ฉันภาวนาขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันก่อนเลย กำลังจะครบปีแล้ว
> > นับจากวันที่
> > > > ฉันรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง
> > > > และนี่ก็นานมากทีเดียวจากวันที่หมอว่าฉันจะต้องตายในสามเดือน
> > > >
> > > > ฉันเองก็แทบจะไม่เชื่อว่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้ ฉันไม่ได้ติดต่อวินเลย
> > > เขาก็เช่น
> > > > กัน แต่หนึ่งสัปดาห์ก่อนวัน
> > > > เกิดฉัน
> > > >
> > > > วินโทรมาชวนฉันไปเที่ยว เขาบอกว่าครั้งนี้จะพิเศษที่สุด
> > แต่ต้องกลับดึกหน่อย
> > > > และฉันห้ามปฏิเสธ ทาง
> > > > บ้านฉันแม้จะห่วงไม่อยากให้ไป แต่ก็จนปัญาที่จะห้าม
> > > >
> > > > เมื่อฉันบอกว่าคงได้ไปเป็นโอกาสสุดท้าย
> > > นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เที่ยวกลางคืน
> > > > วินขับรถพาฉันไปที่ผับ
> > > > ก่อนที่จะไปจบที่ถนนสายหนึ่งตอนเที่ยงคืน
> > รถยนต์นับสิบคันจอดเรียงรายกันเป็น
> > > > ทางยาว เพื่อเตรียมที่
> > > > จะแข่ง
> > > > เหมือนในหนังที่ฉันเคยดู
> > > ฉันทนนั่งหายใจไม่ออกในรถของวินที่คลุ้งกลิ่นบุหรี่ไม่
> > > > ไหว ฉันแอบไขกระจกลง
> > > > นิดหน่อย วินจอดเทียบที่ว่างบอกให้คอยในรถอย่าออกไปไหน
> > > >
> > > >
> > >
> >
>ก่อนจะลงไปหาเพื่อนผู้ชายที่เดินมายืนผิงข้างกระจกฝั่งฉันเพื่อตกลงกันบางอย่าง
> > > > ซึ่งวินไม่คิดว่าฉันจะ
> > > > ได้ยินคำพูดทุกคำอย่างชัดเจน "เดือนนี้เงินมันช็อตว่ะ
> > > >
> > > > ใช้ผู้หญิงพนันแทนได้ใช่ไหม คราวที่แล้วแกยังทำเลยนี่หว่า
> > > คนนี้เกินสิบแปดแล้ว
> > > > รับรองไม่มีปัญหา แถม
> > > > ประกันได้เลยว่ายังสดๆซิงๆ"
> > > >
> > > > ฉันช็อคกับคำพูดของวินที่ลอดกระจกเข้ามา
> > > >
> > > >
> > >
> >
>ดีที่กระจกรถของเขาติดฟิลม์มืดพอจะให้เขาไม่เห็นน้ำตาของฉันที่ไหลอาบแก้มตอนนี้
> > > > วินเดินไปหาเพื่อนที่
> > > > รถอีกคัน ฉันเลยหนีออกจากรถเดินน้ำตานองหน้า
> > > >
> > > > ครุ่นคิดกับคำพูดที่ได้ยิน ไปตามทางเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย
> > แต่วินคงหัวเสียไม่
> > > > น้อยที่กลับมาที่รถไม่เจอฉัน
> > > > เพราะเขาสบถออกมาตอนเดินผ่านตรงที่ฉันหลบอยู่ "แม่งหายไปไหนว่ะ
>ช่างแม่งไม่
> > > > อยู่ก็ดี รถจะได้
> > > > เบาขึ้น เดี๋ยวกูลงเป็นสร้อยคอนี่ก็แล้วกัน"
> > > >
> > > > ฉันร้องไห้เพราะว่าโกรธมากกว่าที่จะเสียใจ สำหรับวินฉันมีค่าเทียบเท่าแค่
> > > > สร้อยคอของเขาเท่านั้น
> > > > ฉันไม่ได้เดียงสาขนาดที่จะไม่เข้าใจเรื่องที่ได้ยิน
>และรู้ว่าฉันเป็นแค่ของ
> > > > เดิมพัน ฉันไม่อยู่รอจนได้ผล
> > > > สรุปหรอก
> > > > ไม่ว่าวินจะชนะหรือว่าแพ้ มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับฉันอีกแล้ว
> > > ฉันเดินมาไกลพอสมควร
> > > > บนถนนสายเปลี่ยว
> > > > อย่างนี้ ฉันเหลียวหารถสักคัน
> > > >
> > > > แต่ไม่มีแม้แต่วี่แววเงาของคน ฉันเริ่มกลัว น้ำตาก็ยิ่งพรั่งพรูออกมา
> > ภาพทาง
> > > > เดินตรงหน้าเริ่มเลือน
> > > > ราง ฉันเริ่มหายใจหอบถี่ๆ แข้งขาอ่อนเหมือนจะหมดแรง
> > > >
> > > > จนต้องยึดเสาเอาไว้ไม่ให้ล้ม พยายามปลอบใจตัวเองว่า
> > > วันนี้ฉันคงเหนื่อยมากเกิน
> > > > ไป แต่ก็โกหกตัว
> > > > เองได้ไม่นาน
> > > >
> > > > เมื่อฉันไอออกมาเป็นเลือดเต็มผ่ามือตัวเอง เลือดกำเดาไหลออกมาไม่หยุด
> > > ฉันมองดู
> > > > เสื้อผ้าตัวเอง
> > > > ที่เปื้อนเลือดก่อนจะหมดแรงตัวสั่นหมดความกลัวทรุดลงตรงนั้น
> > > >
> > > > ฉันสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ไม่มีแรงที่จะลุกหรือร้องให้ใครช่วย ฉันนึกถึงพี
> > ฉัน
> > > > ค้นโทรศัพท์ที่เขาให้ใน
> > > > กระเป๋า
> > > > แต่ก็สิ้นหวังเมื่อนึกได้ว่าไม่เคยบันทึกเบอร์ใครไว้เลย
> > ฉันเสี่ยงกดโทรออกไป
> > > > อย่างหมดหวัง ฉันกำลัง
> > > > จะหมดแรง ไม่สิ ฉันกำลังจะตาย
> > > >
> > > > ฉันกลัว... ปลายเสียงมีคนรับแล้ว เสียงของพีดังขึ้นมา
>มันทำให้ฉันเห็นความ
> > > > หวังเลือนราง
> > > > น้ำเสียงของพีดูร้อนรน เขาถามถึงจุดที่ฉันอยู่ก่อนที่ฉันจะหมดสติไปจริงๆ
> > > แต่ก็
> > > > ยังพอจำได้เลือนราง ว่า
> > > > ฉันอยู่ในอ้อมกอดของพี
> > > >
> > > > ฉันยังมีแก่ใจนึกขำว่าทำไมผู้ชายผอมๆอย่างพีอุ้มฉันไหวด้วย
> > > สองวันหลังจากที่หมด
> > > > สติไป ฉันฟื้นขึ้นที่โรง
> > > > พยาบาล
> > > > ครอบครัวของฉันยืนรายล้อมรอบเตียง แต่ไม่มีพี ฉันมองหาทั่วห้อง
>แม่คงเดาได้
> > > > แม่บอกว่าพี่เพิ่งกลับ
> > > > ไปไม่นาน เขาดูแย่มาก อาจจะแย่กว่าฉันเสียอีก
> > > >
> > > > เพราะไม่ได้นอนเลยตลอดเวลาที่ฉันไม่ได้สติ คงจะแวะมาอีกครั้งตอนเย็น
> > บ่ายนั้น
> > > > หมอเข้ามาตรวจอา
> > > > การก่อนจะเรียกพ่อแม่ไปคุย ก่อนที่จะเข้ามาบอกฉันว่า
> > > >
> > > > อีกสองวันฉันก็กลับไปพักที่บ้านได้แล้ว แม่ตามเข้ามาที่หลังทั้งน้ำตา
>เป็น
> > > > ครั้งแรกที่เห็นแม่ร้องไห้ ฉันใจ
> > > > หายวูบ
> > > > รู้ดีว่านี่เป็นวาระสุดท้ายของฉันจริงๆ แล้ว
> > อันที่จริงฉันควรจะตายไปตั้งนาน
> > > > แล้ว
> > > > ไม่เลวนักที่ฉันทนกับความทรมานของโรคร้ายนี้มาได้เกือบปี
> > เย็นนั้นพีไม่ได้มา
> > > > เยี่ยมฉัน เขามาวันรุ่งขึ้น
> > > > เขาดูโทรมไปมากจริงๆ
> > > >
> > > > แต่ก็ไม่น่าสนใจไปกว่าเสื้อผ้าที่เขาแต่ง
> > > มันแทบจะถอดแบบมาจากหุ่นที่ฉันเคยชี้
> > > > ให้เขาดู นี่เขาทำเพื่อ
> > > > เอาใจฉันอีกแล้ว
> > > >
> > > > เพื่อเพื่อนที่กำลังจะตาย ฉันยิ้มฝืนๆ กลัวตัวเองจะร้องไห้ออกมา
> > เรามีเรื่อง
> > > > คุยกันมากเหลือเกิน
> > > > หลังจากที่ไม่ได้คุยกันมานาน
> > > >
> > > > ฉันบอกเขาเรื่องที่กำลังจะตาย แม้แต่หมอก็ไม่อยากรักษาแล้ว
> > > ฉันว่าฉันเป็นคนที่
> > > > น่าสงสารที่สุด ที่จะ
> > > > ต้องตายทั้งที่ยังไม่มีแฟน
> > > >
> > > > ฉันพูดติดตลกว่า
> > ถ้ากลับบ้านเมื่อไรฉันจะรีบไปหาแฟนไว้ก่อนตายเพราะไม่อยากตาย
> > > > คนเดียว แต่พี
> > > > กลับบอกฉันด้วยท่าทางจริงจัง
> > > >
> > > >
> > > > "ความรักไม่ใช่สิ่งของที่จะวิ่งหากันได้ง่ายๆ หรอกนะ
>ถ้าอันอยากได้ความรัก
> > > แค่
> > > > ทำตัวดีๆ อยู่นิ่งๆ
> > > > ความรักมันก็อยู่รอบตัวอันแล้ว"
> > > >
> > > > ฉันยอมรับแค่ครึ่งเดียวว่าความรักมันไม่ได้หากันง่ายๆ ฉันย้อนถามพี
> > "เคยมีคน
> > > > รักหรือไง ทำมาสอน
> > > > ถ้ามีจริงๆ ทำไมไม่เห็นพามารู้จักกันบ้างเลย"
> > > >
> > > > "เคยสิ แต่รักเขานะ เขารักเราหรือเปล่าก็ไม่รู้"
> > > >
> > > > "ว้า รักเขาข้างเดียวเหี่ยวเฉาแย่ มันจะมีความสุขเหรออย่างนี้"
> > > >
> > > > "มีสิ เพราะเราชอบที่จะได้เห็นเขามีความสุข แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับเรา"
> > > >
> > > > "แต่ถ้าเขารู้ก็น่าจะรักกลับบ้างนะ ไม่น่าเห็นแก่ตัวเลย"
> > > >
> > > > "เพราะเขาไม่รู้นะสิ แล้วเราก็ชอบที่จะได้ให้มากกว่าที่จะรับ
> > > >
> > > > เวลาเห็นเขายิ้มเราก็ถือว่าได้กลับมาแล้วแหละ"
> > > >
> > > > "แล้วทำไมไม่บอกเขาให้รู้หละ" ฉันลอบมองเขาด้วยความหวั่นไหวไม่น้อย
> > > >
> > > > นึกอยากให้เป็นคนที่เขาพูดถึงเหลือเกิน แต่ต้องผิดหวัง
> > > >
> > > >
> > > > "ไม่ถามหรอก ของอย่างนี้มันรับรู้ได้เอง เพราะว่าเราบอกเขาทุกวัน
> > รอแค่ให้เขา
> > > > รับรู้เมื่อไร แล้ว
> > > > บอกเราบ้างเท่านั้น"
> > > >
> > > > เราเปลี่ยนเรื่องคุยกันไปอีกหลายเรื่อง
> > ฉันถามเขาว่าช่วงที่ไม่ได้เจอกันเขาทำ
> > > > อะไรบ้าง พีเงียบไป
> > > > เฉยๆ ก่อนจะยิ้มน้อยๆ
> > > >
> > > > ส่ายหน้าบอกฉันว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ฟ้ามืดแล้ว ฉันใจหาย
> > เวลาของฉันหมดไปอีกวัน
> > > > พีเดินมาส่งที่
> > > > ห้อง ระหว่างทาง
> > > >
> > > > พีเดินเหมือนคนหมดแรง เกือบชนของสอง สาม ครั้ง เขาบอกว่าง่วง นอนไม่พอ
>ตอน
> > > > นั้นฉันไม่ได้ใส่
> > > > ใจนัก เพราะมัวคิดแต่เรื่องของตัวเอง ฉันรั้งเขาไม่ให้กลับ
> > > >
> > > > ฉันรู้ว่ามันเห็นแก่ตัวที่ขอให้เขาพาฉันไปทะเลตอนนั้นเลย
>พีไม่ว่าอะไรสักคำ
> > > >
> > > > ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วแอบออกไปกับเขา
>เราสองคนนั่งพิงกันอยู่บนชายหาดที่
> > > > หัวหิน มีเพียงดาวที่สว่าง
> > > > อยู่บนฟ้า
> > > >
> > > > พีกุมมือฉันเอาไว้ถามฉันว่ายังมีอะไรที่อยากทำอีกไหม
> > ฉันโกหกว่าเหลือแค่เพียง
> > > > เรื่องเดียว ทั้งๆ ที่มัน
> > > > มีสองเรื่องที่อยากทำ
> > > >
> > > > ฉันบอกพีว่า อยากอยู่ให้ถึงวันเกิดของตัวเองในอีกสองวันข้างหน้า
> > แต่พีให้ฉัน
> > > > สัญญาว่าจะต้องอยู่ให้ถึงวั
> > > > นเกิดของเขาด้วยในเดือนหน้า ฉันสัญญา
> > > >
> > > > แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้ไหม เรานั่งกันจนฟ้าสาง เป็นครั้งที่สวยที่สุดที่
> > > > ฉันได้นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นเหนือ
> > > > เส้นขอบฟ้า
> > > >
> > > > พีพาฉันเข้ามาที่ตัวเมือง
>เพื่อตักบาตรก่อนจะขับรถพาฉันกลับมาที่โรงพยาบาล
> > > วัน
> > > > เกิดฉันมาถึงแล้ว ฉัน
> > > > ยังคงมีลมหายใจอยู่ ฉันตื่นแต่เช้า
> > > >
> > > > เข้าไปกราบเท้าพ่อแม่ ขอบคุณที่ให้ฉันเกิดมาในครอบครัวที่ดีอย่างนี้
> > > ฉันกอดพี่
> > > > สาวที่น่ารักด้วยแรงทั้งหม
> > > > ดเท่าที่จะมี
> > > >
> > > > บอกว่าฉันดีใจที่ได้เป็นน้องสาวของเธอ มีคนเอาของขวัญมาให้ฉันแต่เช้า
> > > มันส่งมา
> > > > จากพี พร้อมการ์ด
> > > > ขอโทษที่มาด้วยตัวเองไม่ได้ ฉันแกะออกดู
> > > >
> > > > มันเป็นรูปถ่ายฉันใบเล็กๆ เรียงรายกันอย่างสวยงามจนเต็มกรอบใหญ่
>ด้วยท่าทาง
> > > > ต่างๆ แต่ที่เหมือนกัน
> > > > ทุกรูปคือ ฉันกำลังยิ้ม
> > > >
> > > > มีรูปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว พีสะสมรูปฉัน
> > > >
> > > > เขาตั้งใจทำของขวัญชิ้นนี้มาหนึ่งปีเต็มๆ ฉันมั่นใจแล้วว่าพีชอบฉัน
> > > และฉันก็ชอบ
> > > > เขา ฉันหวนนึกถึงวันเกิด
> > > > ของพี
> > > > ฉันควรจะให้อะไรเขาดี ฉันคิดถึงพี จนลืมนึกถึงตัวเอง เป็นครั้งแรก
> > ฉันอยู่เลย
> > > > วันเกิดตัวเองมาจะ
> > > > ครบหนึ่งเดือนแล้ว
> > > >
> > > > ด้วยจิตใจว้าวุ่นและสงสัยว่าพีหายไปไหน ฉันโทรไปหาก็ไม่มีคนรับ
> > > ตั้งแต่วันเกิด
> > > > ฉันเขาไม่ติดต่อฉันเลย
> > > > ของขวัญที่เตรียมไว้ดูจะไร้ค่า
> > > >
> > > > เพราะหาคนรับไม่ได้ ฉันต้องไปโรงพยาบาลในวันเกิดของพีพอดี
> > > คุณหมอพูดถึงพีกับฉัน
> > > >
> > > > หมอแปลกใจที่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย หมอบอกฉันว่าเขานอนเป็นเจ้าชายนิทรา
> > > > ตั้งแต่วันที่ฉันออกจากโร
> > > > งพยาบาลเดือนก่อนแล้ว
> > > >
> > > > เพราะเขาไม่ยอมรับการถ่ายเลือดครั้งล่าสุด
> > เขาหนีหายออกจากโรงพยาบาลไปกลางดึก
> > > >
> > > > ก่อนจะกลับมาในอีกสองวันต่อมา
>ฉันโกรธและโทษตัวเองที่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน
> > > > ไม่เคยแม้แต่จะสนใจ
> > > > ถามเขาให้มากกว่านี้ หวนนึกที่ผ่านมาแล้ว
> > > >
> > > > มีแต่เขาที่ทำทุกอย่างให้ฉันมาตลอด
> > ทุกครั้งที่ฉันพร่ำอ้างกับเขาว่าฉันคือคน
> > > > ป่วยที่ใกล้จะตาย
> > > > โดยไม่รู้เลยว่าฉันเป็นคนฆ่าเขาด้วยมือตัวเองทีละน้อย ฉันแทบหยุดหายใจ
> > เมื่อ
> > > > เห็นพีนอนอยู่ในชุดคน
> > > > ป่วยแบบเดียวที่ฉันเคยใส่
> > > >
> > > > เขานอนแน่นิ่งบนเตียง มีสายระโยงระยางรอบตัว
> > สภาพของเขาตอนนี้มีชีวิตอยู่ได้
> > > > ด้วยเครื่องช่วยเหล่
> > > > านี้
> > > >
> > > > เป็นครั้งแรกที่ฉันภาวนาให้คนที่นอนในสภาพนั้นเป็นฉันเอง
> > > >
> > > > ฉันฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
> > > แต่ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวดที่มาจากใจ
> > > > แม่ของพีรู้จักฉัน พี
> > > > เล่าเรื่องฉันให้ฟังทุกอย่าง แม่เรียกให้ฉันไปดูเขาใกล้ๆ
> > > >
> > > > ตลอดเวลาแม่ของพีเล่าเรื่องของเขาที่ฉันไม่เคยรู้ให้ฉันฟัง
> > เขาป่วยด้วยโรคไต
> > > > และเกร็ดเลือดต่ำมา
> > > > ตั้งแต่เด็กๆ ต้องถ่ายเลือดบ่อยมาก
> > > >
> > > > เขาเคยนึกอยากตายให้พ้นๆ ชีวิตทรมานอย่างนี้ จนมาเมื่อปีที่แล้ว ที่อยู่ๆ
> > เขา
> > > > ก็มีกำลังใจอยากมีชีวิต
> > > > ต่อ
> > > > เพียงเพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเห็นที่สวนหย่อมในโรงพยาบาล
> > เขาอยากอยู่กับเธอ
> > > > คนนั้น แม่ของพียื่น
> > > > สมุดบันทึกเล่มเล็กๆให้ฉัน
> > > >
> > > > เขาเริ่มเขียนบันทึกก่อนฉันจะรู้จักเขาไม่นาน
> > > เขาบังเอิญรู้เรื่องฉันจากพยาบาล
> > > >
> > > > สมุดทั้งเล่มมีแต่เรื่องที่เกี่ยวกับ |
โดย : นายนิทาน [ 25/06/2005, 11:07:27 ] |
2
เศร้าจริงๆเลยค่ะ
แม้จะยาว แต่ก็อ่านจนจบนะ
เศร้ามาก
ตอนสุดท้ายเศร้ามากๆเลย
งือๆ อยากร้องไห้ |
โดย : .ใครสักคน [ 19/08/2005, 20:11:17 ] |
|
|
|
E-mail: webmaster@thaibg.com |
Copyright 2002-2024@www.ThaiBG.com (Thailand), All Rights Reserved |
|
|
|
|